เศรษฐกิจตกต่ำส่งผลทำให้เกิดแรงงานที่ไม่ได้คาดหมายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเพราะบริษัทขนาดใหญ่จ้างพนักงานน้อยลงเพื่อรักษาความยืดหยุ่นของ บริษัทและปลดพนักงานเต็มเวลาหลายตำแหน่งออก ซึ่งนี่หมายความว่าการหางานในบริษัทจะเป็นไปได้ยากกว่าเดิมโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งบัณฑิตจบใหม่อายุน้อย
สำหรับคนทำงานอายุยังน้อย การมีใบปริญญาไม่เพียงพออีกต่อไป การจะทำงานมีตำแหน่งในบริษัทนั้นอย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีปริญญา 2 ใบ ทั้งปริญญาโทและประสบการณ์ทำงานมากพอ (ถ้ามีความสามารถทางภาษาต่างชาติก็จะยิ่งได้เปรียบ) นี่เป็นสภาพการณ์ที่โหดไม่น้อยสำหรับบัณฑิตจบใหม่ที่แบกหนี้ค่าเทอมหนักอึ้ง และต้องหางานอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนที่จบปริญญา 3 ใบเพิ่มขึ้นทุกๆปี อีกด้วย
ท่ามกลางเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้ ธุรกิจ startup เปิดโอกาสสู่ตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเข้าถึงได้ยาก พวกเขาจ้างคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในหลากหลายสายงานและหยิบยื่น โอกาสประสบการณ์การฝึกงานที่หลากหลายและลงลึกให้กับนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งได้ทำงานที่ดีกว่านั่งถ่ายเอกสารและ/หรือจัดแฟ้มแบบในบริษัทใหญ่ๆ
:: พัฒนาบุคคลากรให้รู้รอบด้าน ::
ใครที่ทำงานในธุรกิจ startups คงทราบดีว่าคนเหล่านี้และผู้ร่วมงานคนอื่นๆสามารถทำหน้าที่ได้หลากหลาย พวกเขาทำงานได้หลายบทบาทและทำหน้าที่ได้มากเกินกว่าที่เขียนไว้ในนามบัตร
การทำงานให้กับธุรกิจ startup คือการเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆที่จำเป็นต่อการพัฒนาสู่ธุรกิจให้ประสบความ สำเร็จ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และการทดลองสิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้การทำงานเป็นกลุ่มเล็กๆ ยังทำให้พนักงานได้เห็นการทำงานของเพื่อนร่วมทีมว่าทำอะไร อย่างไร ทำให้ได้เรียนรู้ตลอดกระบวนการการทำงานโดยตรง
หากมองอย่างคร่าวๆ (ขอให้คำว่าคร่าวๆ) มันเป็นไปตามตามกฎการลดลงของผลตอบแทน (law of diminishing returns) ตามที่อาจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์เคยอธิบายโดยเปรียบเทียบกับการแต่งตัวไว้ว่า: เราจะใช้รองเท้าคู่แรกที่มีทุกวัน และใช้รองเท้าคู่ที่ 2 น้อยลงจึงทำให้ให้มีมูลค่าการสวมใส่น้อยลงตามไปด้วย รองเท้าคู่ที่ 3 ก็จะถูกใช้น้อยลงไปอีก นี่เป็นเพราะว่ารองเท้าคู่แรกทำหน้าที่ของการใส่รองเท้าได้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งการจ้างพนักงานบริษัทก็เป็นไปตามหลักการนี้เช่นกัน บริษัทจะจ้างพนักงานไม่กี่คนที่จะต้องทำงานได้ทุกหน้าที่ พวกเขาจึงมีคุณค่ามากกว่าแค่หน้าที่เฉพาะด้านของแต่ละคน
ที่สุดแล้ว ขอบเขตหน้าที่การทำงานของพนักงานในธุรกิจ startups นั้นกว้างกว่าพนักงานในฝ่ายหนึ่งของบริษัทใหญ่ๆมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีประสบการณ์การทำงานที่เข้มข้นและหลากหลายกว่า ธุรกิจ startups นั้นจึงมีส่วนทำให้เกิดบุคลากรที่มีความรู้และมีทักษะรอบด้านจริงๆ ไม่ใช่ฝึกให้มีความสามารถเพียงด้านเดียว
:: เศรษฐกิจที่ดีคือมีตลาดที่หลากหลาย ::
บริษัทขนาดเล็กกว่าพันแห่งจ้างคนทำงานอิสระและบัณฑิตจบใหม่เป็นพันๆราย สามารถลดอัตราการว่างงานได้อย่างมาก เฉพาะบริษัทขนาดเล็กก็มีการจ้างแรงงานไปกว่า 30%ของแรงงานทั้งสหรัฐอเมริกาแล้ว
ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแข่งขันระหว่างบริษัทขนาดเล็กที่เพิ่ม ขึ้น ธุรกิจ startups จำเป็นต้อง (และต้องสามารถทำได้) พัฒนาสินค้าเร็วกว่า มีประสิทธิภาพกว่าและราคาถูกกว่า ประดิษฐ์คิดค้นสินค้าให้ดีที่สุดจนออกสู่ตลาด ผลก็คือ เรามีทางแก้ปัญหาที่ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นและทำให้เกิดการแข่งขันของ ตลาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์และแนวคิดผ่านการทดสอบ ทำใหม่และแก้ให้สมบูรณ์ก่อนออกสู่ตลาด ความต้องการจึงยังคงมีอยู่และช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรในระยะยาว
:: ความพยายามในการรับผิดชอบต่อสังคม ::
กระแสความคิดและสินค้าใหม่ๆที่โถมเข้ามาทำให้เกิดตัวเลือกการลงทุนมากมายสำหรับ ทุกๆงบประมาณ และยังป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดและช่วยกู้ความมั่นใจให้ระบบเศรษฐกิจด้วย
การร่วมลงทุน เป็นคำที่ค่อนข้างเป็นที่คุ้นเคยในวงการธุรกิจ startups หากไม่มีสิ่งนี้แล้ว ธุรกิจ startups คงไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลเกินกว่าการจ้างพนักงานแค่ 4 คนและพัฒนาสินค้าเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ โลกออนไลน์จึงกลายมาเป็นแหล่งสนับสนุนผู้ลงทุนในธุรกิจและไอเดียเกี่ยวกับ startups นี้ และนี่ยังแปลว่า ต่อจากนี้ผู้ลงทุนจะสามารถรู้ว่าเงินที่พวกเขาลงทุนไปอยู่ที่ไหน แบบที่เมื่อก่อนไม่สามารถทำได้ โดยสามารถตัดสินใจได้เลยว่าความคิดและสินค้าไหนควรค่ากับการลงมือทำจริงๆ นี่ทำให้ธุรกิจ startups ต้องรับภาระหน้าที่การสร้างสรรค์สิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าจริงๆและให้ผู้ ลงทุนมีความรับผิดชอบให้ลงทุนในสิ่งที่สามารถรักษาไว้ได้ ทำให้เกิดความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้เล่นในตลาดต่างๆ
:: กระตุ้นระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น ::
ธุรกิจ startups หรือจริงๆแล้วผู้ประกอบการเองเป็นคนในท้องถิ่น พวกเขาอาศัยอยู่ในท้องถิ่น จับจ่ายและใช้ทรัพยากรภายในท้องถิ่น พวกเขายังจ้างคนทำงานอิสระภายในท้องถิ่นด้วย อาจเช่าโต๊ะหรืออฟฟิศส่วนตัวที่ coworking space หรือทำงานในโครงการบ่มเพาะธุรกิจในท้องถิ่น จนแทบจะอยู่แทนบ้าน ธุรกิจ startups เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับชุมชนมากขึ้นและมีส่วนร่วมกับงานอีเวนต์ต่างๆ เพราะนี่คือปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจของพวกเขา องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยอัดฉีดเม็ดเงิน ทรัพยากรและความมีชีวิตชีวากลับสู่ชุมชน แน่นอนอยู่แล้วที่ธุรกิจ startups ส่วนใหญ่มีฝันที่จะดำเนินรอยตาม Silicon Valley หรือ Google อย่างไรก็ตาม ศูนย์กลางของธุรกิจ startups ก็เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของอีกหลายร้อยเมืองทั่วโลก
:: อนาคตธุรกิจใหญ่โต ::
เมื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง Google อ้างว่า “ธุรกิจ startups เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” และ “ให้มีนวัตกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้น” ก็คงยากที่จะมองข้ามผลกระทบของธุรกิจ startups ที่มีต่อเศรษฐกิจ อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า startups ไม่ได้สัมพันธ์กับเศรษฐกิจไม่ดีและเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจแบบใหม่นี้มากกว่า