ความเครียดที่เกิดจากอาชีพการงานนั้นมีมาแต่ช้านานแล้ว คนทำงานทั้งหลายต้องเจอกับเรื่องท้าทายมากมายซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปจนถึงการเร่งทำงานให้เร็วขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
การปิดตัวสาขาสำนักงาน ทำให้เดินทางไปทำงานไกลขึ้น
ตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ทำให้วิธีการทำงานและสังคมเปลี่ยนแปลงไปในแบบที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เราต้องทบทวนแผนธุรกิจบางตัวใหม่ แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นด้านต้นทุนทำให้เกิดการรวมตัวกันมากขึ้น ดังนั้นเพื่อช่วยลดต้นทุน ทางบุคคลจึงต้องปิดสำนักงานบางแห่งและเปิดสำนักงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทำเลหลัก พร้อมตำแหน่งงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นแทน
แนวโน้มนี้ทำให้เกิดผลเสียกับหลายคนที่ต้องเดินทางข้ามเมืองหรือเดินทางไกลเพื่อไปทำงาน ส่วนผลก็คือความเหนื่อยล้า อารมณ์ไม่ดี ความสามารถในการทำงานลดลงและปัญหาชีวิตส่วนตัวและงาน
แม้ใน London เองมีพนักงานบริษัท 1 ใน 5 คน เดินทางมากกว่า 40 กิโลเพื่อไปออฟฟิศ ส่วนที่ New York คนทำงาน 47% ใช้เวลาเดินทางไปทำงานกว่า 40 นาที!
:::
การทำงานที่บ้าน ไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป
ทางออกของปัญหานี้ของทุกวงการคือ ทำงานที่บ้าน เทคโนโลยียุคดิจิตอลช่วยให้เราออกจากข้อจำกัดเดิมๆของเวลา และสถานที่ เดี๋ยวนี้แค่มีโต๊ะหนึ่งตัวและสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำงานที่ไหนก็ได้แม้แต่ที่บ้าน มันก็จริงอยู่หรอกที่การทำงานที่บ้านเป็นประโยชน์ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง มันเป็นการลดต้นทุนของตัวงานและเวลาเดินทาง และใครก็สามารถหาจุดสมดุลของงานและส่วนตัวได้ เพียงเตรียมพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การทำงานที่บ้านไม่ส่งผลดีในระยะยาว ไม่ว่าต่อนายจ้างหรือบริษัท เช่น ทำงานที่บ้านไม่มีการเข้าสังคมเหมือนในออฟฟิศ และยังไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่มีการระดมสมองหรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ความคิดที่เข้าท่าที่สุดน่าจะเป็นเครือข่ายสำนักงานแบบมืออาชีพระดับภูมิภาคที่พนักงานสามารถทำงานเป็นรายชั่วโมงและกระจายตัวตามเมืองใหญ่ ซึ่งทำงานเสริมกับสำนักงานใหญ่อีกที แต่สำนักงานใหญ่ก็ไม่ควรหายไปเลยแต่ควรให้พนักงานเข้าไปใช้ได้เมื่อจำเป็น
การเปลี่ยนไปทำงานที่เครือข่ายออฟฟิศที่เชื่อมโยงกับสำนักงานกลางช่วยให้บริษัทมีโอกาสช่วยพนักงานมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น